Pond Narongrit

November 9, 2023

ออฟไลน์บ้าง

3e0eccc8-94cd-4793-9b1e-8d8bdec53dc7.jpeg


พักหลังผมรู้สึกประหลาดใจกับสมาธิที่สั้นลงของตัวเองนิดหน่อย

หมายถึง ผมไม่สามารถให้ความสนใจกับสิ่งที่ผมตั้งใจจะจดจ่อได้นานและต่อเนื่องเท่าเมื่อก่อน เช่น การอ่านหนังสือที่อยากอ่านมานานซึ่งควรจะต้องอ่านจบภายใน 1 เดือน (ซึ่งคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักอ่าน) แต่สำหรับคนที่เคยอ่านได้ 40 เล่มต่อปีนั้น ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ถอยหลังพอสมควร

ผมยังจำความรู้สึกตอนที่ตัวเองคลั่งไคล้กับการเป็นหนอนหนังสือได้ดี ความรู้สึกมั่นคงในสมาธิของตัวเองที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว ตอนนั้นผมสามารถใช้เวลาไปกับหนังสือสักเล่มได้ทั้งวัน โดยความกระวนกระวายเดียวคือการเปลี่ยนท่านั่งทุกๆครึ่งชั่วโมงเท่านั้น จำได้ว่าผมสามารถอ่าน Sapiens ของ Yuval Noah Harari ให้จบได้ภายใน 4 วัน (ซึ่งสำหรับผมถือว่าเร็วมาก) แน่นอนว่าด้วยความเร็วระดับนั้น ทำให้ผมไม่สามารถจดจำอะไรได้มากนัก แต่ที่น่าสนใจคือ สิ่งที่หลงเหลือจากการอ่านครั้งนั้นไม่ใช่องค์ความรู้ในหนังสือ แต่คือห้วงของอารมณ์ที่สุขสงบจากการได้สำรวจเรื่องราวใหม่ๆที่ผมสนใจจริงๆ และความมั่นคงของสมาธิที่ไม่กระวนกระวายไปกับการวัดผลถึงความคุ้มค่าในการใช้เวลาให้มีประโยชน์ มีแค่ผมกับเรื่องราวในหนังสือ มันเติมเต็มผมอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตช่างเรียบง่าย และเหมือนผมมีทุกอย่างครบหมดแล้ว

แต่พอมาตอนนี้ อย่าว่าแต่สักบทเลย แค่สัก 5 หน้าสมาธิของผมก็แตกกระเจิงแล้ว อย่างนานที่สุดคือ 10 กว่าหน้าถ้าผมเอาหนังสือเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวในตอนเช้า และอาจมากกว่านั้นถ้าผมท้องผูก

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์คือหนึ่งในสาเหตุหลักๆที่ทำให้ผมมีสมาธิที่ถดถอยลง การเสพข่าวสารหรือ content ขนาดสั้นที่ย่อยง่ายวันละหลายชั่วโมงทำให้ความอดทนในการอ่านหนังสือสักเล่มที่ควรจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงเป็นอะไรที่นานเกินจะทนไหว ยิ่งถ้าเป็นหนังสือที่ย่อยยากด้วยแล้ว มันจะให้บรรยากาศที่ไม่ต่างอะไรกับการทรมานเลยทีเดียว แม้จะเป็นนังสือที่อยากอ่านมากๆก็ตาม

ทำไมผมถึงเสพติดการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์?

มีหลายสาเหตุที่สามารถหาอ่านได้ง่ายๆตามอินเทอร์เน็ต แต่หนึ่งในสาเหตุที่ผมค้นพบด้วยตัวเองคือ เรื่องของความรู้สึกที่ไร้ขีดจำกัด ประมาณว่า ในโลกทางกายภาพ เรานั้นช่างแสนเปราะบางและตายง่ายเหลือเกิน เวลาก็เดินช้าไม่ได้ดั่งใจ ความไม่สมบูรณ์แบบและไม่ได้ดั่งใจของตัวตนในโลกนี้ ทำให้เราอยากหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับมันตรงๆ รวมทั้งภาระรับผิดชอบที่ชวนให้ขี้เกียจหรือไม่น่าอภิรมณ์ต่างๆมากมาย ซึ่งมักมีให้ทำมากเกินไปเสมอ

กลับกันในโลกออนไลน์ โลกที่ข้อจำกัดต่างๆถูกเบลอออกไป เป็นโลกที่เราเป็นอมตะ (เพราะไม่ได้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรก) ไม่มีกลางวันกลางคืน เวลาเป็นเพียงแค่หน่วยของการดำเนินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งที่ไม่ต้องถูกประเมินถึงความคุ้มค่า และเนื่องจากเป็นโลกที่มีบทบาทให้เลือกเล่นมากมาย เราจึงสามารถซักซ้อม, จำลองวิธีการใช้ชีวิตได้เรื่อยๆแบบไม่ต้องคิดให้ปวดหัวว่ามันดีหรือมีคุณค่าพอไหม และเนื่องจากเราสามารถสำรวจหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนในโลกนี้ได้ไม่จำกัด จนมันก่อร่างเป็นเครือข่ายของความคิดที่ไม่หยุดนิ่ง ที่คอยตรวจสอบและให้รางวัลแก่ผู้ที่ควรค่าแก่การถูกยอมรับอย่างต่อเนื่อง

ก็เลยมีความคิดว่า อยากจะออฟไลน์ให้บ่อยขึ้น สักนิดนึงก็ยังดี

อย่างครั้งล่าสุด ผมพึ่งไปพักร้อนที่หมู่เกาะสุรินทร์มา แม้ว่าจะจริงๆที่เกาะจะมีสัญญาณ แต่มันก็ไม่ได้เสถียรพอที่จะทำให้การสแกนจ่ายเงินหรือใช้อินเทอร์เน็ตนั่นราบรื่น และด้วยความหงุดหงิด ทำให้บางครั้งผมก็ปิดเครื่องไปดื้อๆเลย ถึงแม้มันจะเป็นการออฟไลน์ซึ่งถูกบังคับสถานการณ์ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันให้เกิดความรู้สึกสงบในใจไม่น้อย

แต่มีสัจธรรมข้อนึงที่ควรระลึกเสมอคือ ความสงบสุขมักอยู่ได้ไม่นาน พอกลับขึ้นฝั่งที่มีสัญญาณแรงเต็มกราฟ ผมก็เลือกที่จะออนไลน์อย่างหนักหน่วงเหมือนเดิม ซึ่งประเดิมด้วยการไถ reel ไปเรื่อยๆเกือบชั่วโมง (ซึ่งนับว่ามากเกินไปสำหรับผม) ราวกับว่าเป็นการชดเชยกับสภาวะพร่องอินเทอร์เน็ตใน 2-3 วันที่ผ่านมา

ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่ามันไม่ง่าย การที่เราเสพติดกับความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดไปแล้วนั้น ทำให้ความไม่สะดวกสบายเล็กน้อยในชีวิตประจำวันล้วนเป็นปัญหาไปซะหมด เช่น ผมจะต้องทำตัวยังไงขณะที่กำลังยืนรอข้าว 10 นาทีถ้าไม่ไถมือถือ ซึ่งความกระวนกระวายจากการไม่สามารถอยู่นิ่งๆโดยไม่สนใจอะไรได้นั้น มันทำให้ผมต้องยอมรับว่าด้วยพฤติกรรมที่ไม่ดีของตัวเองได้สร้างนิสัยที่ทำให้การออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญไปชีวิตหรือปัจจัยที่ขาดไม่ได้ไปซะแล้ว

แล้วผมทำอะไรได้บ้าง? นี่คือรายการที่ผมพยายามจะเตือนตัวเองให้บ่อยครั้งขึ้น (ซึ่งอาจมีเพิ่มเติมในอนาคต)

หนึ่ง อยู่อย่างออฟไลน์ หยุดพักจากการเป็นตัวกระจายข่าวสารและส่งต่อข้อมูล กลับมาเผชิญข้อจำกัดในโลกความจริงดูบ้าง มันอาจทำให้เราค้นพบช่วงเวลาแห่งความสงบสุข หรือสัมผัสความรู้สึกสนุกแบบเด็กๆอีกครั้ง การได้เต็มที่กับกิจกรรมตรงหน้าอย่างจดจ่อ อดทนกับปัจจุบันที่ดำเนินไปอย่างช้าๆและยอมรับถึงอัตราเร่งที่แท้จริงว่า การอ่านหนังสือที่ควรใช้เวลา 2 ชั่วโมงก็ควรจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง

สอง ลบโซเชียลมิเดียออกจากมือถือ (ซึ่งผมมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ต่างกับการก่อกบฏในยุคสมัยใหม่) แต่กระนั้น ผมยังคงสามารถเข้าสู่ระบบผ่านคอมพิวเตอร์ได้อยู่ แต่ไม่ใช่ด้วยจุดประสงค์เพื่อไถฆ่าเวลา แต่ด้วยจุดประสงค์เพื่ออัปเดตข่าวสารของครอบครัว, เพื่อนๆ และสถานการณ์ทางการเมืองที่ผมสนใจ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ผมสามารถเข้าร่วมวงสนทนากับเพื่อนร่วมงานได้บ้าง

สาม ชีวิตคือการทดลองส่วนบุคคล ไม่ต้องไปคิดมากเกี่ยวกับชีวิตที่ดีหรือวิธีการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ตอนนี้ผมมีสิ่งที่คนตายอิจฉา ซึ่งคือโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ผมเชื่อและให้คุณค่า ผมเคยดูวิดีโอหรือบทความจำนวนมากเกี่ยวกับความผิดพลาดของคนสูงอายุหรือใกล้ตายว่าความผิดพลาดของพวกเขาคือ ใช้ชีวิตตามคนอื่นมากเกินไป

เพราะชีวิตที่ดี คือชีวิตที่เราไม่ต้องบอกคนอื่นว่าดี?



ภาพประกอบ: Marzena Skubatz (IG: @marzenaskubatz)

© ปอนด์ 
Private life, Inner peace & Clear mind

About Pond Narongrit

สวัสดี! ผมปอนด์ ที่นี่คุณจะได้พบกับบทความขนาดสั้นเกี่ยวกับ การออกแบบ, ปรัชญา, ปัญหาชีวิต และแมว เขียนสดวันต่อวัน เพื่อดัดนิสัยตัวเองที่มักไม่ยอมเผยแพร่บทความสักที